5 ข้อต้องรู้ ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม

5 ข้อต้องรู้ ในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม

ข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ โรคนี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนภายในข้อเข่าจนไม่สามารถรองรับแรงที่กระทำต่อเข่าในชีวิตประจำวันได้ดีเท่าเดิม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดข้อเข่า ข้อเข่าฝืด และการเคลื่อนไหวลดลง ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก หลายคนอาจเข้าใจว่าโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นเพียงปัญหาที่มาพร้อมกับวัยชรา แต่แท้จริงแล้วมีปัจจัยหลายอย่างที่สะสมมาตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยทำงาน ในบทความนี้

ข้อเข่าเสื่อมเป็นเพียงปัญหาที่มาพร้อมกับวัยชรา

เราจะมาดู 5 ข้อต้องรู้ที่เกี่ยวกับข้อเข่าเสื่อม ที่อ้างอิงจากงานวิจัยทางการแพทย์ เพื่อทำความเข้าใจในปัจจัยเสี่ยง วิธีการจัดการกับโรคนี้ และความสำคัญของการป้องกันและรักษาอย่างเหมาะสม

 

  1. เข่าเสื่อมมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดสะสมมาตั้งแต่วัยรุ่น วัยทำงาน

    โรคข้อเข่าเสื่อมพบได้มากในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม การเกิดข้อเข่าเสื่อมไม่ใช่เพียงผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงที่สะสมมาตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยทำงาน การใช้ข้อเข่ามากเกินไป เช่น การทำงานหนักที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ การเล่นกีฬาที่มีการกระแทกสูง เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล หรือแม้กระทั่งน้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสึกหรอของกระดูกอ่อนภายในข้อเข่า

    งานวิจัยได้ระบุว่าการใช้ข้อเข่ามากเกินไปส่งผลให้เกิดการสะสมความเสียหายของผิวข้อภายในข้อเข่า ซึ่งแม้ในวัยรุ่นหรือวัยทำงานจะยังไม่มีอาการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกอ่อนที่ถูกทำลายเหล่านี้จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ นำไปสู่การเกิดข้อเข่าเสื่อมในอนาคต การป้องกันจึงควรเริ่มตั้งแต่การควบคุมน้ำหนัก รักษาท่าทางในการเดินและการนั่งให้ถูกต้อง รวมถึงการหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำร้ายข้อเข่า ตั้งแต่ยังไม่มีอาการเข่าเสื่อม
     
  2. ข้อเข่าเสื่อมรักษาไม่หายขาด แต่ชะลออาการได้
    ข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เนื่องจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนนั้นเป็นภาวะถาวร อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาแบบประคับประคองสามารถช่วยลดอาการปวด ลดความเสื่อม และชะลอความรุนแรงของโรคได้ การรักษาที่ได้ผล ได้แก่ การรักษาด้วยยา การทำกายภาพบำบัด การฉีดยาเข้าไปในข้อเข่า หรือการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
     
  3. ไม่ใช้ผู้ป่วยทุกคนที่จะต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

    ผู้ป่วยที่เป็นข้อเข่าเสื่อมส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการรักษาแบบไม่ผ่าตัด มีเพียงบางส่วนที่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเนื่องจากอาการเข่าเสื่อม อยู่ในระยะท้าย ๆ งานวิจัยทางการแพทย์พบว่าการผ่าตัดมักจะใช้ในกรณีที่อาการของข้อเข่าเสื่อมมีความรุนแรงมากและการรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล เช่น ผู้ป่วยมีอาการปวดเรื้อรังจนไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้

    การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า (Total Knee Replacement) ถือเป็นการรักษาที่ได้ผลดีในผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่น การผ่าตัดสามารถลดอาการปวด และทำให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่เนื่องจากการผ่าตัดมีความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายสูง จึงควรใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อวิธีการรักษาอื่น ๆ ไม่ได้ผล
     
  4. เมื่อเป็นข้อเข่าเสื่อม เข่าจะค่อยๆ โก่งออกเรื่อยๆ ทำให้ท่าเดินผิดปกติ

    หนึ่งในลักษณะเฉพาะของโรคข้อเข่าเสื่อมคือการที่ข้อเข่าเริ่มมีการโก่งออกด้านนอก (Varus Deformity) อันเนื่องมาจากการสึกหรอของกระดูกอ่อน เมื่อเวลาผ่านไป ข้อเข่าที่เสื่อมจะทำให้ขาทั้งสองข้างมีรูปทรงผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีท่าเดินที่ไม่สมดุล การเดินผิดปกตินี้ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบาดเจ็บอื่นๆ เช่น ข้อเท้าหรือสะโพกเสื่อมตามมา

    การเดินที่ผิดปกติเหล่านี้สามารถชะลอได้ด้วยการใช้รองเท้าหรืออุปกรณ์ช่วยเดิน และการฝึกท่าทางในการเดินให้ถูกต้องผ่านการทำกายภาพบำบัด แต่หากไม่ได้รับการรักษา การเดินที่ผิดปกตินี้อาจนำไปสู่ภาวะบกพร่องในการเคลื่อนไหวหรือการติดเตียงในอนาคต
     
  5. ข้อเข่าเสื่อมที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะติดเตียง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม

ในกรณีที่ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากการขยับเข่าแม้เพียงเล็กน้อยก็ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยไม่อยากทำอะไร อยากอยู่แค่บนเตียง จึงนำไปสู่ภาวะติดเตียงได้ ความเสี่ยงของการติดเตียงนั้นมาจากหลายปัจจัย เช่น อาการปวดเรื้อรัง ท่าเดินที่ผิดปกติ หรือข้อเข่าที่เสียหายอย่างหนัก ภาวะติดเตียงอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น แผลกดทับ ปอดอักเสบ และการติดเชื้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมและคุณภาพชีวิต

การป้องกันภาวะติดเตียงในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แนะนำว่าผู้ป่วยควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดทั้งในด้านการรักษาทางการแพทย์ การทำกายภาพบำบัด และการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อรักษาความสามารถในการเคลื่อนไหวไว้อย่างดีที่สุดครับ

ในกรณีที่ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมเข้าสู่ภาวะติดเตียง

ควรมีการจัดการดูแลจากทีมแพทย์ นักกายภาพบำบัด และพยาบาลที่เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจทำให้อาการทรุดลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ดังนั้น การป้องกันและการจัดการโรคเข่าเสื่อมอย่างเหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่มองข้ามไม่ได้

โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่การป้องกันและดูแลตัวเองตั้งแต่วัยทำงานสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ แม้ว่าข้อเข่าเสื่อมจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาแบบประคับประคองที่เหมาะสมและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต สามารถช่วยชะลออาการของโรคและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้

ท้ายที่สุด การเฝ้าระวังและการจัดการโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และการได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมสามารถใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ และลดความเสี่ยงจากผลกระทบที่รุนแรง หากท่ามีอาการข้อเข่าเสื่อมมองหาสถานพยาบาลที่มีมาตรฐานในการรักษาข้อเข่าเสื่อม สามารถเข้ามาปรึกษา พร้อมตรวจร่างกายได้ที่ คลินิกกายภาพบำบัด zenista health and wellness สาขาชลบุรี และเพชรบุรี หรือสอบถามผ่านไลน์ที่ line: @zenista

บริการแนะนำ

กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

กายภาพบำบัด

คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

รักษาข้อเข่าเสื่อม

คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

รักษาออฟฟิศซินโดรม

รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง