ปวดคอบ่าไหล่ ทำไมมักเกิดกับพนักงาน Office

ปวดคอบ่าไหล่ ทำไมมักเกิดกับพนักงาน Office

อาการปวดคอบ่าไหล่ (Neck and Shoulder Pain) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในกลุ่มพนักงานออฟฟิศในยุคปัจจุบัน อาการนี้มักเกิดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานโดยไม่ปรับเปลี่ยนท่าทางหรือพักผ่อนอย่างเหมาะสม จากการวิจัยพบว่า พนักงานออฟฟิศมากกว่า 50% มีความเสี่ยงที่จะประสบกับอาการปวด คอ บ่า ไหล่ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่ทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง หรือต้องใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ในการทำงานตลอดเวลา การทำงานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้เกิดการสะสมความตึงเครียดในกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดคอบ่าไหล่เป็นระยะเวลานานได้ ดังนั้นวันนี้เรามาดูกันครับว่าทำไม อาการปวดคอบ่าและไหล่ ถึงเกิดได้บ่อย ๆ ในพนักงาน Office

อาการปวดคอบ่าไหล่เกิดจากอะไร

อาการปวดคอบ่าไหล่สามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการทำงานที่ทำให้กล้ามเนื้อส่วนคอและบ่าต้องรับน้ำหนักมากเกินไป การนั่งในท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน หรือการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดอาการตึงของกล้ามเนื้อบริเวณคอบ่าและไหล่

มีงานวิจัยในปี 2020 พบว่า การนั่งทำงานในท่าทางที่ศีรษะก้มลงเพื่อจ้องจอคอมพิวเตอร์มากเกินไปสามารถเพิ่มแรงกดทับในกล้ามเนื้อบริเวณคอมากกว่าปกติถึง 2-3 เท่า การที่กล้ามเนื้อเหล่านี้ต้องทำงานหนักตลอดเวลาโดยไม่ได้พัก จะส่งผลให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในระยะยาว

นอกจากนี้ อาการปวดคอบ่าไหล่ยังสามารถเกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยา เช่น ความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ความเครียดสะสมสามารถกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดเกร็งตลอดเวลาของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้เกิดอาการปวดและอักเสบบริเวณคอบ่าไหล่ได้

ลักษณะการทำงานของพนักงานออฟฟิศที่ส่งผลให้เกิดอาการปวดคอบ่าไหล่

การทำงานในออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้พนักงานออฟฟิศมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการปวดคอบ่าไหล่ ตามข้อมูลจากวิจัยในปี 2021 พบว่าการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดคอบ่าไหล่ถึง 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับพนักงานที่ทำงานในลักษณะที่ต้องขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ

ท่าทางที่ไม่เหมาะสมระหว่างการทำงาน เช่น การนั่งหลังค่อม ศีรษะก้มมากเกินไป หรือการวางแขนในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น การใช้งานเมาส์และคีย์บอร์ดที่อยู่ในระดับต่ำเกินไป สามารถทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่าต้องทำงานหนักกว่าปกติ นอกจากนี้ การไม่หยุดพักระหว่างการทำงานเป็นเวลานานเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้กล้ามเนื้อต้องรับภาระมากเกินไปส่งผลต่ออาการปวดได้โดยตรงอีกด้วย

การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปที่มีหน้าจอขนาดเล็กและไม่สามารถปรับระดับได้ หรือการใช้งานโทรศัพท์มือถือโดยการก้มศีรษะเป็นเวลานาน ก็มีส่วนทำให้เกิดการปวดคอบ่าไหล่เช่นเดียวกัน การวิจัยในปี2019 พบว่าพนักงานที่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการปวดบริเวณบ่ามากขึ้น 30% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้งานน้อยกว่า

สามารถหลีกเลี่ยงอาการปวดคอบ่าไหล่ได้อย่างไรบ้าง

การป้องกันอาการปวดคอบ่าไหล่สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนท่าทางและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม เช่น การจัดโต๊ะทำงานให้อยู่ในระดับที่สบายตาและเหมาะสมกับการทำงาน การวางจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตาเพื่อไม่ให้ต้องก้มศีรษะนานเกินไป รวมถึงการปรับระดับของเก้าอี้ให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถรองรับการนั่งทำงานเป็นเวลานานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การออกกำลังกายหรือยืดกล้ามเนื้อเป็นระยะ ๆ ระหว่างการทำงานเป็นอีกวิธีที่ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อได้ การทำท่าออกกำลังกายเบาๆ เช่น การหมุนคอ การยืดกล้ามเนื้อไหล่และแขน สามารถช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดได้เช่นกัน

การหยุดพักทุกๆ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เพื่อยืดเส้นยืดสายหรือลุกออกจากโต๊ะทำงานชั่วคราวก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น การยกโทรศัพท์ให้สูงขึ้นแทนการก้มมองหน้าจอ หรือการใช้แผ่นรองข้อมือเพื่อช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อแขนและข้อมือ ก็สามารถช่วยป้องกันอาการปวดคอบ่าไหล่ได้

หากการปรับท่าทางและปรับการทำงานไม่ดีขึ้น ต้องทำอย่างไร

ในกรณีที่การปรับท่าทางหรือการเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำงานไม่ได้ช่วยให้อาการปวดคอบ่าไหล่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บเรื้อรังได้

การรักษาทางกายภาพบำบัดสามารถช่วยอะไรได้บ้าง

การกายภาพบำบัด เป็นอีกแนวทางในการรักษาที่มีศักยภาพในการบรรเทาอาการปวดคอบ่าไหล่ โดยมีรายงานว่าสามารถช่วยลดอาการปวดคอบ่าไหล่ได้ในระดับสูงภายในระยะเวลา 4-6 สัปดาห์ การรักษาทางกายภาพบำบัดยังช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอาการปวดในอนาคต

นอกจากนี้ การรักษาทางกายภาพบำบัดยังสามารถใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น Shockwave อัลตราซาวด์หรือเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (TENS) เพื่อช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้

อาการปวดคอบ่าไหล่ในกลุ่มพนักงานออฟฟิศเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมักเกิดจากท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการนั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่มีการเปลี่ยนท่าทางหรือพักผ่อนที่เพียงพอ ความเครียดทางร่างกายและจิตใจก็มีบทบาทสำคัญในการทำให้เกิดอาการเหล่านี้ การป้องกันอาการปวดคอบ่าไหล่สามารถทำได้โดยการปรับท่าทางในการทำงานให้เหมาะสม การหยุดพัก และบริหารร่างกายเบา ๆ ระหว่างการทำงานอยู่เสมอ

หากอาการปวดไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง เช่น การกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นวิธีการรักษาหนึ่งที่มีศักยภาพในการลดอาการปวดและฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรงได้ การป้องกันและรักษาอาการปวดคอบ่าไหล่ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเจ็บปวด แต่ยังช่วยให้พนักงานออฟฟิศสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาวอีกด้วย หากไม่รู้ว่าจะไปรับบริการคลินิกกายภาพบำบัดที่ไหนดี แนะนำที่ คลินิกกายภาพบำบัด zenista health and wellness สาขาชลบุรี และเพชรบุรี ทั้ง 2 สาขา หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ line: @zenista

บริการแนะนำ

กายภาพบำบัด,กายภาพบำบัด ชลบุรี, กายภาพบำบัด เพชรบุรี

กายภาพบำบัด

คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

รักษาข้อเข่าเสื่อม,รักษาข้อเข่าเสื่อม ชลบุรี, รักษาข้อเข่าเสื่อม เพชรบุรี

รักษาข้อเข่าเสื่อม

คลินิกกายภาพบำบัด ชลบุรี เพชรบุรี ZENISTA CLINIC

รักษาออฟฟิศซินโดรม,รักษาออฟฟิศซินโดรม ชลบุรี, รักษาออฟฟิศซินโดรม เพชรบุรี

รักษาออฟฟิศซินโดรม

รักษาออฟฟิศซินโดรม อาการปวดหลังเรื้อรัง