
ปัจจุบันโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและกลุ่มวัยทำงานที่ต้องใช้งานข้อเข่ามากขึ้น ทั้งจากการเดิน ยืน หรือทำกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อข้อเข่า โรคเข่าเสื่อมส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวที่จำกัดและอาการปวดที่อาจทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมที่เคยทำได้อย่างปกติ การดูแลรักษาเข่าอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อชะลออาการเสื่อมและฟื้นฟูข้อเข่าให้อยู่กับเราไปนานๆครับ
ในกรณีที่โรคเข่าเสื่อมไม่ได้รับการรักษา อาการจะค่อยๆ แย่ลง โดยเริ่มจากอาการปวดขณะเดินหรือลงน้ำหนัก ไปจนถึงอาการติดขัดขณะเคลื่อนไหว หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้การดูแลในระยะหลังซับซ้อนและใช้เวลานานขึ้น
ความสำคัญของการดูแลรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เนื่องจากเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของข้อเข่าจากการใช้งานในระยะยาว โดยเริ่มต้นจากการที่กระดูกอ่อนภายในข้อเริ่มสึกหรอและเสื่อมลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา การเสื่อมสภาพนี้จะดำเนินต่อไปและทำให้ข้อเข่ามีปัญหามากขึ้น เช่น อาการปวดเรื้อรัง การเคลื่อนไหวที่ยากลำบาก และอาจนำไปสู่การผ่าตัดในอนาคต
การดำเนินโรคของโรคเข่าเสื่อมมี 4 ระยะ
ระยะที่ 1
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเล็กน้อยขณะเคลื่อนไหวมากๆ และเริ่มมีเสียงกระดูกที่ข้อเข่าเมื่อขยับ แต่อาการปวดที่เกิดขึ้นจะไม่ค่อยชัดเจน
ระยะที่ 2
ข้อเข่าเริ่มมีอาการปวดมากขึ้นเมื่อเดินหรือยืนนานๆ การใช้งานข้อเข่าจะทำให้รู้สึกตึงและอักเสบ
ระยะที่ 3
จะรู้สึกได้ถึงอาการปวดจได้ง่าย และมากขึ้น โดยปวดได้ทั้งในขณะพักและเคลื่อนไหว ข้อเข่าอาจเริ่มมีอาการบวมและติดขัดชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน
ระยะที่ 4
ข้อเข่าจะเสื่อมอย่างรุนแรง ทำให้การเคลื่อนไหวมีข้อจำกัดมาก และอาจต้องทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า เนื่องจากส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปได้ยาก และอาจต้องการความช่วยเหลือในการดูแลตนเอง
จะเป็นอย่างไรหากไม่รักษาอาการเข่าเสื่อม?
หากไม่ได้รับการรักษา อาการเข่าเสื่อมจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมสภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเรื้อรัง เคลื่อนไหวลำบาก และไม่สามารถทำกิจกรรมที่ต้องใช้เข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากพูดให้เห็นภาพ อาการเริ่มแรกจะรู้สึกปวดเข่าแค่ตอนที่ใช่เข่าหนักๆ และเมื่อเวลาผ่านไป อาการเป็นมากขึ้น แค่งอเข่าโดยไม่ลงน้ำหนักก็ทำให้เกิดอาการปวดได้ และอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรุนแรงได้ ดังนั้น หากมีอาการข้อเข่าที่น่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำและการดูแลที่เหมาะสม
โดยเข่าเสื่อมแต่ละระยะก็มีความเหมาะสมของวิธีการรักษาแตกต่างกันออกไป
การรักษาข้อเข่าเสื่อมจะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค
ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยอาจสามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตและทำกายภาพบำบัด
ในระยะที่ 2 และ 3 การฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดและฟื้นฟูข้อเข่าร่วมกับการทำกายภาพบำบัด
ในขณะที่ในระยะสุดท้าย ระยะที่ 4 ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเพื่อฟื้นฟูการใช้งานของข้อเข่าเนื่องจากข้อเข่าเดิมไม่สามารถใช้งานได้แล้วในชีวิตประจำวัน
การรักษาเข่าเสื่อมด้วย PRP : แนวทางที่มีประสิทธิภาพ!!
การฉีด PRP คือการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นจากเลือดของผู้ป่วยเอง ซึ่งเกล็ดเลือดเหล่านี้มีสารที่ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ การรักษาด้วย PRP เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการผ่าตัด และมุ่งเน้นการฟื้นฟูข้อเข่าจากภายใน
ขั้นตอนการฉีด PRP
- เจาะเลือดจากผู้ป่วยเพื่อนำไปปั่นแยกเกล็ดเลือดเข้มข้น
- ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเข้าสู่บริเวณข้อเข่า
- ผู้ป่วยอาจต้องพักฟื้นระยะสั้นๆ ก่อนเริ่มใช้เข่าได้ตามปกติ
จำนวนครั้งในการฉีด PRP และผลลัพธ์ที่คาดหวัง?
การฉีด PRP เข่ามักต้องทำซ้ำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ โดยทั่วไป การฉีด PRP จะเริ่มเห็นผลภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากการฉีดครั้งแรก และอาจต้องฉีดซ้ำเป็นครั้งที่สองหรือสามในระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี
การรักษาเข่าเสื่อมด้วย PRP อยู่ได้นานกี่ปี?
ผลของการรักษาด้วย PRP Injection โดยปกติจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้ข้อเข่าและการดูแลรักษาหลังฉีด หากผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดและลดการใช้งานข้อเข่าในกิจกรรมหนักๆ ผลการรักษาจะคงอยู่ได้นานมากขึ้นตามไปด้วยครับ
ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาด้วย PRP Injection
- ระดับความเสื่อมของข้อเข่า
ผู้ป่วยที่มีอาการเสื่อมเพียงเล็กน้อยจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรง
- ลักษณะการใช้งานของข้อเข่าหลังการรักษา
หากยังมีการใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก เช่น ยกของหนักหรือออกกำลังกายที่ต้องใช้เข่า ผลการรักษาอาจเสื่อมเพิ่มมากขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
- การทำกายภาพบำบัด
การทำกายภาพบำบัดร่วมกับการฉีด PRP จะช่วยฟื้นฟูข้อเข่าได้ดียิ่งขึ้นเนื่องจากการทำกายภาพบำบัดจะดูแลทั้งเรื่อง การเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบเข่า การลดปวด และการฟื้นฟูเข่า
สรุป
การฉีด PRP เพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อมเป็นหนึ่งในวิธีการที่ช่วยฟื้นฟูข้อเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งการผ่าตัด และสามารถลดอาการปวดได้อย่างยาวนาน แต่ผลลัพธ์ของการรักษาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความรุนแรงของข้อเข่าเสื่อมและลักษณะการใช้งานข้อเข่าหลังการรักษา ที่คลินิกกายภาพบำบัด Zenista Health and Wellness สาขาชลบุรี และสาขาเพชรบุรี เราให้บริการฉีด PRP โดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ พร้อมการดูแลอย่างครบวงจร ท่านสามารถเข้ามาปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line ID: @zenista